วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัด พร้อมเฉลย TENSE ( มัธยมศึกษาปีที่1)


Write the correct form of verbs given in the bracket into present simple tense. จงเขียนคำกริยาในวงเล็บให้อยู่ในรูปของ Present Simple Tense ให้ถูกต้อง


1. Our young daughter  (use) lipstick.
2. Her husband  (take) her out to dinner.
3. My grandfather does not  (not put) salt on his food.
4. The telephone does not  (not ring).
5. Do your wife  (like) cats?
6. Do we  (plan) to go to Japan?
7. The baby  (try) to speak to its mother.
8. Cotton does not  (not grow) in Malaysia.
9. The children do not  (not play) in the garden in the winter.
10. That boy  (obey) his parents.
11. Our cow  (produce) much milk.
12. Does an ostrich  (bury) its head in the sand?
13. My roommate  (watch) TV every night.
14. He  (play) the guitars well.
15. Laura does not  (not buy) all her clothes at this shop


Answer

1. Our young daughter (uses) lipstick.

2. Her husband (takes) her out to dinner.

3. My grandfather does not ( put) salt on his food.

4. The telephone does not  ( ring).

5. Do your wife  (like) cats?

6. Do we (plan) to go to Japan?

7. The baby  (tries) to speak to its mother.

8. Cotton does not (grow) in Malaysia.

9. The children do not  ( play) in the garden in the winter.

10. That boy  (obeys) his parents.

11. Our cow  (produces) much milk.

12. Does an ostrich (bury) its head in the sand?

13. My roommate  (watches) TV every night.

14. He (plays) the guitars well.

15. Laura does not ( buy) all her clothes at this shop.

เนื้อหาภาษาอังกฤษ สอนระดับชั้นมัธยมศึกษา ช่วงชั้นที่ 3 ( มัธยมศึกษาปีที่ 1)



โรงเรียนป้อมนาคราชสวาทยานนท์

เมื่อศึกษาเรื่อง Tenses จบแล้ว นักเรียนควรมีความสามารถดังนี้

1. ใช้คำกริยาได้ถูกต้องตาม Tense ต่างๆ
2. ใช้คำกริยาได้ถูกต้องตามประธานที่กำหนดให้
3. อธิบายความแตกต่างของการใช้คำกริยาในแต่ละ Tense ได้

หมายเหตุ บทเรียนเรื่อง Tenses ในระดับชั้นเรียนนี้จะกล่าวถึง Tenses ต่างๆ ต่อไปนี้
1. Present Tense ได้แก่ Present Simple Tense, Present Continuous Tense และ Present Perfect Tense
2. Past Tense ได้แก่ Past Simple Tense
3. Future Tense ได้แก่ Future Simple Tense

 Tense คือ รูปแบบของกริยาที่แสดงให้ทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ได้เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะกล่าวในที่นี้ คือ
            1. Present Simple Tense             
            2. Present Continuous Tense             
            3. Present Perfect Tense
            4. Past Simple Tense
            5. Future Simple Tense

การใช้ Present Simple Tense มีวิธีใช้ดังนี้ คือ
                1. เมื่อเหตุการณ์ที่กล่าวถึงเป็นความจริง เช่น
                                The earth moves round the sun.
                        Tigers are dangerous animals.
                        John is the youngest son.
            2. ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำอยู่เป็นประจำ เป็นนิสัย ในกรณีนี้มักจะมีคำแสดงเวลาร่วมอยู่ด้วย คือ always, sometimes, generally, often, every day, every week, every month, etc. เช่น
                                My son sometimes plays tennis with his father.
                        He always gets up at eight o’clock.
                        The bus comes every ten minutes.
            ในประโยคปฏิเสธ (Negative Form)มีหลักการเปลี่ยนดังนี้ คือ
                1. ประโยค Present Simple Tense ที่มี Verb to be หรือ กริยาช่วยตัวอื่น (can, may, must, will, shall) สามารถเติม not หลังคำกริยาช่วยเหล่านั้นได้ทันที เช่น
                                She is a teacher.                   She is not a teacher.
                        I can play baseball.               I cannot play baseball./ I can’t play baseball.
            2. ในประโยค Present Simple Tense ที่ไม่มี Verb to be หรือกริยาช่วยดังกล่าวในข้อ 1 อยู่ในประโยคให้ปฏิบัติดังนี้คือ
                                2.1 ใช้ do not หรือ don’t (รูปย่อของ  do not) วางไว้หน้าคำกริยาแท้ ที่ไม่ได้เติม s, es เช่น
                                We walk to school every day.
            เป็น         We do not walk to school every day.
            หรือ       We don’t walk to school every day.
                        The children always make a loud noise.
            เป็น       The children do not always make a loud noise.
            หรือ       The children don’t always make a loud noise.
                        2.2 ใช้ does not หรือ doesn’t (รูปย่อของ does not) วางไว้หน้าคำกริยาแท้ที่เติม s, es โดยตัด sหรือ es ก่อน เช่น
                                The baby sleeps well every night.
            เป็น         The baby does not sleeps well every night.
            หรือ       The baby doesn’t sleeps well every night.
            ในกรณีที่คำกริยาแท้บางคำต้องมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเติม s, es จะต้องตัด s, es ออก แล้วกลับมา ใช้ตัวเดิมก่อน เช่น
                        The baby cries every night.
            เป็น         The baby does not cry every night.
            หรือ       The baby doesn’t cry every night.
            (ในที่นี้จะต้องตัด ies ออกก่อนแล้วกลับมาเติม y เหมือนเดิม เมื่อใช้ does not เช่นเดียวกับคำกริยาตัวอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกัน)
                ในประโยคคำถาม (Interrogative Form) มีหลักการเปลี่ยนดังนี้ คือ
                1. ประโยค Present Simple Tense ที่มี Verb to be หรือกริยาช่วยตัวอื่นๆ ให้นำเอาคำกริยาช่วยในประโยค มาวางไว้หน้าประธาน แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
                You are a nurse.                   Are you a nurse?
            They can speak English.                    Can they speak English?
            2. ในประโยค Present Simple Tense ที่ไม่มี Verb to be หรือคำกริยาช่วยดังกล่าวในข้อ 1 อยู่ในประโยคให้ปฏิบัติดังนี้
                                2.1 ใช้ do วางไว้หน้าประธาน (พหูพจน์) เมื่อคำกริยาแท้ในประโยคไม่ได้เติม s, es แล้วใส่เครื่องหมายคำถามท้ายประโยค
                                We have lunch at twelve.                  Do we have lunch at twelve?
                        Susan and I play tennis every day.                 Do Susan and I play tennis every day?
                        2.2 ใช้does วางไว้หน้าประธาน (เอกพจน์) เมื่อคำกริยาแท้ในประโยคเติม s, es โดยตัด s, es ออกเสียก่อน แล้วใส่เครื่องหมายคำถามท้ายประโยค
                                He often goes to the beach.               Does he often go to the beach?
            ในกรณีที่คำกริยาแท้บางตัวต้องมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเติม s, es จะต้องตัด s และ es ออก แล้วกลับมาใช้รูปเดิมของคำกริยาเสียก่อนที่จะใช้does วางไว้หน้าประธานของประโยค เช่น
                                Jennifer tries to climb the mountain.  Does Jennifer try to climb the mountain?
            หมายเหตุ ลักษณะของคำถามแบบนี้ จะต้องตอบด้วย Yes. หรือ No.


กฎการเติม s และ es ในคำกริยา
                1. เติม es ที่คำกริยาที่ลงท้ายด้วย s,ss,ch,x หรือ o เช่น
                                Dang goes to the post office.
                        He catches the train to Ayuttaya.
                        The bus no.13 passes Lumpini Park.
            2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
                        She studies in the United States of America.
                        The baby cries at midnight.
            ยกเว้น คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ซึ่งหน้า y มีสระ (a,e,i,o,u) ให้เติม s ได้เลย เช่น
                        The boy plays the guitar well.
                        My mother buys many things in that store.
            3.คำกริยาปกติอื่นๆ เติม s ได้ทันที เช่น
                         He wants to go to the beach.
                        The dogs eats bone.


ทริปดีๆ TENSE



Merry Chistmas






สุนทรี Merry Christmas


              คำอวยพรวันคริสต์มาส วันคริสต์มาส (christmas day) เป็นวันแห่งความสุข เป็นวันที่มีประวัติ
ยาวนาน ดังที่ได้เล่าประวัติวันคริสต์มาส ไว้ครั้งก่อน ซึ่งเราได้รวบตัวคำอวยพรวันคริสต์มาสภาษาไทย คำอวยพรวันคริสต์มาสเป็นภาษาอังกฤษ ไว้สำหรับทำการ์ดคริสต์มาส ในเทศกาลวันคริสต์มาส อันใกล้จะถึงนี้ ภาพคริสต์มาส สวยๆนี้ก็สามารถนำไปตกแต่งการ์ดอวยพรวันคริสต์มาสได้ กลอนวันคริสต์มาส

(คำอวยพรวันchristmas) 

             คริสต์มาสต์ที่คิดถึงคำนึงหา รอเวลาเช่นนี้มาช้านาน เพื่อเข้าร่วมความสุขในเทศกาล ล้างหมู่มารทั้งหลายข้างในใจ ในวันนี้สุขสันต์อย่างสุดซึ้ง ควรคำนึงความปลอดภัยอีกมากหลาย วันความสุขไม่ควรจะไปตาย ขับปลอดภัยไร้ทุกข์โศกตลอดไป ขอให้มีความปีติยินดีในวันคริสต์มาสและรื่นเริงในวันปีใหม่

             คริสมาสต์ ปีนี้ขอให้มีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมความปราถนา สุขภาพร่างกายแข็งแรง             คำอวยพรวันคริสต์มาส ภาษาอังกฤษ [English] Christmas Greetings Wishing you a prosperous New Year! Christmas Greetings 

     ขออวยพรให้ท่านจงเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูตลอดปีใหม่ Merry Christmas and Happy New Year 

     ขออวยพรให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ Season’s Greetings– May love and laughter fill your life at Christmas and throughout the New Year. 

  เทศกาลแห่งการอวยพร ขออวยพรให้ความรัก และเสียงหัวเราะเติมเต็มชีวิตของคุณในวันคริสต์มาสตลอดไปถึงวันปีใหม่ 
    My wishes for Christmas: 1. Joy to the world 2. Good will toward men 3. Pizza on Earth! สิ่งที่ฉันปรารถนาในวันคริสต์มาสนี้ 1. คนทั่วโลกมีความสุข 2. ผู้คนอยู่กันอย่างสันติ 3.มีพิชซ่าให้กิน (โจ๊ก) 

     Christmas Cold weather and warm feelings คริสต์มาสอากาศที่เหน็บหนาวและความรู้ที่อบอุ่น อย่างไรเราจะรวบรวมและนำคำอวยพรวันคริสต์มาสเป็นภาษาอังกฤษ,กลอนวันคริสต์มาส 
[English]   มาฝากเพื่อนๆ สำหรับเขียนอวยพรในวันคริสต์มาสอันใกล้จะถึงนี้ต่อไป




วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สำนวนน่ารู้ คุณครูไทย ชวนคิด


เพื่อนๆ จ๋า วันนี้ฝนเอาทริปดีๆ มาฝากกัน เหมาะกับสาวก ชาว Msn  Facebook Twitter                              นักแชทอยากเป็นหวานใจชาวต่างชาติกันนั่นก็คือศัพท์แชทฮิตๆ หรือศัพท์แสลงที่หลายคนคงจะเคยเห็น แล้วต้องมึนไปชั่วขณะว่ามันแปลว่าอะไรฟะ !!



Aite
มาจากคำว่า Alright ที่แปลว่า ดี โอเค เช่น I'm aite.



Bush
แปลว่า บ้านนอก ซึ่งความหมายเดิมของคำรัเแปลว่าพุ่มไม้หย่อมหญ้า จึงหมายถึงประมาณวกที่อยู่ตามพุ่มไม้หย่อมหญ้าหรือบ้านนอกนั่นเอง เช่น You're Bush !!


Comfy
มาจากคำว่า Comfortable ที่แปลว่า สะดวกสบาย เช่น This shirt is so comfy (เสื้อเชิ้ตนี่มันใส่สบายมาก)


Google
แปลว่า ค้นหา ซึ่งก็มาจากกูเกิ้ลที่แปลว่าเว็บค้นหาอยู่ เช่น
A : what are you doing?
B : google for math presentation. (คือจริงๆ อาจจะไม่ได้หาจากกูเกิ้ลก็ได้)


HBU
มาจาก How about you ? หรือที่แปลว่า แล้วเธอล่ะ ? แล้วคุณล่ะ ?


Kewl
มาจากคำว่า Cool (ออกเสียงเหมือนกัน) ที่แปลว่าเจ๋ง ดี เท่


IDC
มาจาก I don't care หรือ ฉันไม่แคร์


Mate
เป็นคำใช้เรียกเพื่อนหรือคนรู้จักแทนชื่อของอีกฝ่าย (หรือแทนคำว่า you) เช่น Hi Mate ! how are you doing? (ว่าไง เธอเป็นยังไงบ้าง)


Mike
เหมือนกับคำว่า Mate


Nah , Na
มาจากคำว่า No ที่แปลว่า "ไม่" นั่นเอง


Ola!
แปลว่า สวัสดี คำนี้พวกวัยรุ่นแนวๆ ฮิพฮอพจะนิยมใช้กัน โดยมีที่มาจากพวกละตินอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในนิวยอร์คที่เดิมทีพูดภาษาสเปน เลยนำคำว่า Hola ของสเปนที่แปลว่าสวัสดีเหมือนกัน เพี้ยนไปมากลายเป็น Ola!


Ta
มาจากคำว่า Thank you ที่แปลว่าขอบคุณนั่นเอง


ทริปดี น่ารู้ กับอาจารย์มด และ อาจารย์อดัม




พัฒนาทักษะทางภาษา 



คำสแลง น่าสนใจ







วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดัจจริต อย่างมีสีสัน อย่าอายในการเปล่งสำเนียง





ไทยคำอังกฤษคำ









มาฝึกสำเนียง แบบว่าภาษา อังกฤษ กัน ตอนเช้าซะหน่อย




แอ๊บแบ๊ววววว

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554